นวนิยายไต้หวันที่เข้ารอบ Longlisted รางวัล The Man Booker International Prize 2018 จากปลายปากกาของอู๋หมิงอี้ นักเขียนมือรางวัล และเป็นผลงานที่ได้รับรางวัลและคำชมจากนักวิจารณ์มากมายอีกเล่มหนึ่ง เป็นนักเขียนไต้หวันแถวหน้าอีกคนที่น่าจับตามองในยุคนี้
.
จักรยานที่หายไป เริ่มต้นด้วยเรื่องราวของพ่อกับจักรยานคู่กายที่หายไปพร้อมกันอย่างไร้ร่องรอยเมื่อ 20 ปีก่อน นั่นเป็นบาดแผลลึกในครอบครัวที่ไม่มีใครอยากเอ่ยถึง แม่และลูก ๆ ทั้งเจ็ดเติบโต แก่ เจ็บ ดำเนินชีวิตต่อไปตามเส้นทางของตัวเอง รอยแผลในใจนั้นดูเหมือนจะจางลงตามกาลเวลา ไม่มีใครพูดถึงพ่ออีก แต่ก็ไม่มีใครพูดว่าพ่อตายแล้วเช่นกัน ลึก ๆ แล้วทุกคนต่างรู้ดี แม้จะกลบฝังมันไว้อย่างมิดชิด แต่การหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของพ่อกลายเป็นเข็มคาใจที่ไม่มีวันหายไปของทุกคน
.
เสี่ยวเฉิง ลูกชายคนเล็กของครอบครัว ได้รับจดหมายจากนักอ่านของเขา จดหมายฉบับนั้นถามถึงเรื่องราวของพ่อและจักรยานที่หายไปในนิยายของเขาที่ทิ้งปมไว้อย่างคลุมเครือ คำถามนั้นเองที่กระตุกเข็มที่คาอยู่ในใจอีกครั้ง เสี่ยวเฉิงหันมาสะสมจักรยานเก่า ก่อนตัดสินใจออกตามหาจักรยานที่หายไปของพ่อ ในอีกแง่หนึ่งก็คือการตามหาร่องรอยของพ่อ การเดินทางครั้งนี้ทำให้เขาได้รู้จักใครหลายคนที่เกี่ยวโยงกันด้วยจักรยานโบราณ สงคราม และ “กรรมชะตา” ที่คาดไม่ถึง
.
จักรยานที่หายไป เล่มนี้จะพาผู้อ่านเดินทางย้อนเวลาไปสู่ไต้หวันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ผ่านความทรงจำของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับจักรยาน ซึ่งถูกมองว่ามันกำหนดกรรมชะตาและผูกโยงผู้คนในเรื่องเข้าด้วยกัน จักรยานนั้นพาเราปั่นไปทั่วไต้หวัน บางคันมุ่งสู่สมรภูมิรบอันโหดร้ายแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บางคันระหกระเหินกลับมายังบ้านเกิดของมันอีกครั้งในสภาพที่ชำรุด สูญหาย รอการค้นพบ และซ่อมแซมมันอีกครั้ง
.
หากได้อ่านประวัติศาสตร์สงครามต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในโลก เราคงเห็นภาพใหญ่ภาพหนึ่ง ใครรบกัน ใครแพ้ ใครชนะ แน่นอนว่า จักรยานที่หายไป คือเรื่องราวที่แต่งขึ้น แต่ก็เป็นภาพจำลองทางประวัติศาสตร์อันทุกข์ตรมของผู้คนในห้วงสงครามได้ราวกับเกิดขึ้นจริง สะท้อนเรื่องราวเล็ก ๆ แต่หนักหน่วงของผู้คน จักรยาน สัตว์ป่า ต้นไม้ ธรรมชาติที่ต่างก็พัวพันกันอย่างแยกไม่ออก และได้รับบาดแผลต่างกรรมต่างวาระกันไป สิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้บันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่ความเจ็บปวดของผู้คนที่ผ่านการสูญเสียในห้วงยามสงครามก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เหมือนที่ตัวละครหนึ่งในเรื่องได้กล่าวไว้
“ช่วงหนึ่ง ฉันคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสุขหรือความทุกข์ ได้แต่อยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เป็นช่วงเวลาที่ไม่อาจรักใครได้เลย”
.
หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องการตามหาร่องรอยที่สูญหายไปของจักรยานและพ่อเท่านั้น แต่ร่องรอยชีวิตอันเว้าแหว่งของผู้คนที่ยังอยู่ก็เช่นกัน นี่คือหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ที่ทำให้เรานึกถึงผลพวงของสงคราม ความทรงจำ ครอบครัว และบ้าน เป็นเรื่องที่เมื่ออ่านจบแล้วก็ยังจุกอกและท่วมท้นอยู่ในใจอีกนาน เราหวังว่าผู้ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะรู้สึกเช่นกัน